Tuesday, September 25, 2018

ธาตุเจ้าเรือนตามหลักแพทยแผนไทย


ธาตุเจ้าเรือน ตามหลักแพทย์แผนไทย

ธาตุเจ้าเรือนคืออะไร
ในทฤษฎีการแพทย์แผนไทย เชื่อว่า การเกิดชีวิตใหม่จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีพ่อมีแม่ที่มีลักษณะของหญิง-ชาย ครบถ้วน หมายถึง พ่อมีลักษณะของชายครบ และแม่มีลักษณะของหญิงครบ โดยให้ความหมายของชีวิตไว้ว่า ชีวิตคือขันธ์ 5 อัน ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

 

  • รูป หมายถึง รูปร่าง ร่างกาย หรือสิ่งที่เป็นรูปธรรม ซึ่งในพระไตรปิฎกได้อธิบายไว้ว่า รูปมีมหาภูตรูป 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และรูปที่เกิดจากมหาภูตรูป เรียกว่าอุปทายรูป ได้แก่ อากาศ ประสาททั้ง 5 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดรูป รส กลิ่น เสียง เป็นอาภรณ์ 4
  • เวทนา ได้แก่ ความรู้สึกต่างๆ ซึ่งเกิดจากประสาททั้ง 5 เป็นต้น
  • สัญญา ได้แก่ ความจำต่างๆ การกำหนดรู้อาการ จำได้หมายรู้
  • สังขาร หมายถึง การปรุงแต่งของจิต ความคิดที่ผูกเป็นเรื่องเป็นราว ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าสังขารคือร่างกาย เช่น มักพูดว่า “คนแก่ไม่เจียมสังขาร” หมายถึง ทำอะไรเกินกว่าร่างกายซึ่งชราจะรับได้แท้จริงสังขารเป็นความนึกคิดก่อ หรือผูกเป็นเรื่องราวนั่นเอง
  • วิญญาณ คือ ความรู้แจ้งของอารมณ์เช่น วิญญาณนักต่อสู้ หมายถึง เป็นผู้มีอารมณ์บากบั่นตั้งมั่น ต้องสู้สุดใจ ผู้มีวิญญาณเป็นนักประชาธิปไตย หมายถึง การมีอารมณ์ลึกซึ้ง ชัดแจ้ง จะทำอะไรก็อยู่ในอารมณ์ของนักประชาธิปไตย มีใจตั้งมั่นในสิทธิเสรีภาพ เป็นต้น คนทั่วไปคิดว่าวิญญาณคือผี เชื่อว่าเมื่อตายไปแล้ววิญญาณออกจากร่างไปเป็นผีแท้จริงแล้วเมื่อตายไปแล้วก็หมดความรู้สึก ไม่มีอารมณ์อีกแล้วนั่นเอง
  •  

 

จะเห็นได้ว่าชีวิตคือขันธ์ 5 ซึ่งคือร่างกายและจิตใจนั่นเอง มนุษย์ที่เกิดมาต่างก็มีชีวิตแตกต่างกันไป มีรูปร่าง
หน้าตาแตกต่างกัน มีความรู้สึกนึกคิดและจิตสำนึก ความรู้แจ้งทางอารมณ์หรือที่เรียกว่าวิญญาณที่แตกต่างกันไป ทาง
การแพทย์แผนปัจจุบันเชื่อว่า การที่มีความแตกต่างและความเหมือนกัน ถูกกำหนดโดยสารพันธุกรรมที่เรียกว่า “ดีเอ็น
เอ” เป็นรหัสของชีวิตที่มนุษย์ได้รับการถ่ายทอดจากมารดาและบิดา เป็นลักษณะทั่วๆ ไปของมนุษย์
ทางการแพทย์แผนไทยมีความเชื่อในเรื่องธรรมชาติว่า การเกิดรูปครั้งแรกในครรภ์มารดามีขนาดเล็กมาก ขนาดเท่ากับหยดน้ำมันงาที่ติดอยู่ปลายขนจามรี หลังจากถูกสะบัด ถึง 7 ครั้ง และด้วยอิทธิพลของธาตุไฟก่อน จึงเกิดธาตุอื่น ตามมาจนครบธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม และไฟ แล้วจึงเกิดเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณจนครบขันธ์ 5 เมื่อครรภ์ ครบ 5 เดือน นั่นคือชีวิตได้เกิดแล้ว และด้วยอิทธิพลธรรมชาติ ได้แก่ ความร้อน ความเย็นของภูมิอากาศตามฤดูกาล ได้ทำให้ธาตุทั้ง 4 ของแต่ละคนแตกต่างกันไปและเริ่มมีอิทธิพลแล้วในครรภ์มารดา ดังพระคัมภีร์ปฐมจินดากล่าวไว้ว่า
เมื่อตั้งครรภ์ในฤดูอันใด ธาตุอันใด ให้เอาธาตุของฤดูนั้นเป็นที่ตั้งแห่งธาตุกำเนิดของกุมารกุมารีนั้นๆ เช่น
  • ตั้งครรภ์ในเดือน 5, 6, 7 เป็นลักษณะแห่งไฟ
  • ตั้งครรภ์ในเดือน 8, 9, 10 เป็นลักษณะแห่งลม
  • ตั้งครรภ์ในเดือน 11, 12, 1 เป็นลักษณะแห่งน้ำ
  • ตั้งครรภ์ในเดือน 2, 3, 4 เป็นลักษณะแห่งดิน
นั่นคือ ธาตุเจ้าเรือน นั่นเอง แต่คนส่วนใหญ่มักจำได้เพียงแต่วันเกิด คำว่าตั้งครรภ์ในเดือนใดหมายถึง การเริ่มมีครรภ์ หรือมีการปฏิสนธิ ดังนั้นจากข้อสังเกตของคนโบราณดังกล่าว ถ้านำอายุการตั้งครรภ์มาพิจารณาแล้วสามารถประมาณการได้ว่า
  • ผู้ที่เกิดเดือน 5, 6, 7 จะมีธาตุลมเป็นเจ้าเรือน
  • ผู้ที่เกิดเดือน 8, 9, 10 จะมีธาตุน้ำเป็นเจ้าเรือน
  • ผู้ที่เกิดเดือน 11, 12, 1 จะมีธาตุดินเป็นเจ้าเรือน
  • ผู้ที่เกิดเดือน 2, 3, 4 จะมีธาตุไฟเป็นเจ้าเรือน
การแบ่งแบบนี้เป็นการแบ่งอย่างหยาบ คือ แบ่งบุคลิกหรือลักษณะจำเพาะของคนออกเป็น 4 แบบ แต่ละแบบจะมี
จุดอ่อน หรือลักษณะของธาตุเสียสมดุลแตกต่างกันตามธาตุเจ้าเรือนนั้นๆ

 

ลักษณะของ ธาตุเจ้าเรือน เป็นอย่างไร
องค์ประกอบของธาตุที่รวมกันอยู่อย่างปกตินั้น จะมีธาตุอย่างใดอย่างหนึ่งเด่น หรือมากกว่าอย่างหนึ่ง เรียกว่า เจ้า
เรือน ซึ่งจะมีลักษณะแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยแต่ละธาตุหลักทั้ง 4 จะมีลักษณะที่แสดงออกเป็นเจ้าเรือน ดังนี้
  • ธาตุดินเจ้าเรือน จะมีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวค่อนข้างคล้ำ ผมดกดำ เสียงดังฟังชัด ข้อกระดูกแข็งแรง กระดูกใหญ่ น้ำหนักตัวมาก ล่ำสัน อวัยวะสมบูรณ์
  • ธาตุน้ำเจ้าเรือน จะมีรูปร่างสมบูรณ์ อวัยวะสมบูรณ์ สมส่วน ผิวพรรณสดใสเต่งตึง ตาหวาน น้ำในตามาก ท่าทางเดินมั่นคง ผมดกดำงาม กินช้า ทำอะไรชักช้า ทนหิว ทนร้อน ทนเย็นได้ดีเสียงโปร่ง มีลูกดกหรือมีความรู้สึกทางเพศดีแต่มักเฉื่อยและค่อนข้างเกียจคร้าน
  • ธาตุไฟเจ้าเรือน มักขี้ร้อน ทนร้อนไม่ค่อยได้ หิวบ่อย กินเก่ง ผมหงอกเร็ว มักหัวล้าน หนังย่น ผม ขนหนวด ค่อนข้างนิ่ม ไม่ค่อยอดทน ใจร้อน ข้อกระดูกหลวม มีกลิ่นปาก กลิ่นตัวแรง ความต้องการทางเพศปานกลาง
  • ธาตุลมเจ้าเรือน จะมีผิวหนังหยาบแห้ง รูปร่างโปร่ง ผอม ผมบาง ข้อกระดูกลั่นเมื่อเคลื่อนไหว ขี้อิจฉา ขี้ขลาด รักง่ายหน่ายเร็ว ทนหนาวไม่ค่อยได้ นอนไม่คอยหลับ ช่างพูด เสียงต่ำ ออกเสียงไม่ชัด มีลูกไม่ดก คือความรู้สึกทางเพศไม่ค่อยดี
สถานที่ถิ่นที่อยู่อาศัยแยกตาม ธาตุเจ้าเรือน
ที่อยู่อาศัย หรือสิ่งแวดล้อม เรียกว่า “ประเทศสมุฏฐาน” ย่อมมีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่และสุขภาพ ได้แก่
  • ประเทศร้อน สถานที่ที่เป็นภูเขาสูง เนินผา มักเจ็บป่วยด้วยธาตุไฟ เช่น คนภาคเหนือ จะเจ็บป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับไข้ต่างๆ
  • ประเทศเย็น สถานที่ที่เป็นน้ำฝน โคลนตม มีฝนตกชุก มักเจ็บป่วยด้วยธาตุลม เช่น คนภาคกลาง จะเจ็บป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับลมต่างๆ
  • ประเทศอุ่น สถานที่ที่เป็นน้ำฝนกรวดทราย เป็นที่เก็บน้ำไม่อยู่ มักเจ็บป่วยด้วยธาตุน้ำ เช่น คนภาคอีสาน จะเจ็บป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับนิ่ว
  • ประเทศหนาว สถานที่ที่เป็นน้ำเค็ม มีโคลนตมชื้นแฉะ ได้แก่ ชายทะเล มักเจ็บป่วยด้วยธาตุดิน เช่น ภาคใต้ จะเจ็บป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับฝี
การวินิจฉัย ธาตุเจ้าเรือน
นำอาการที่ได้จากการบอกเล่า และตรวจพบมาประมวล จะสามารถบอกถึงสภาวะสุขภาพของผู้ป่วย โดยยึด
หลักเกณฑ์เกี่ยวกับตัวสุขภาพ หรือตัวควบคุมธาตุทั้งสี่ ได้แก่
  • ธาตุดิน มีสิ่งสำคัญในการควบคุมสุขภาพอยู่ 3 อย่าง คือ
    – หทัยวัตถุมีที่ตั้งที่หัวใจ ควบคุมความสมบูรณ์ของหัวใจ เช่น ลักษณะ ขนาด การทำงาน การเต้น ความสมบูรณ์ของกล้ามเนื้อหัวใจ บางตำรากล่าวว่าหทัยวัตถุเป็นที่ตั้งของจิต
    – อุทริยะ หมายถึง อาหารใหม่ คืออาหารที่รับประทานเข้าไปใหม่ๆ นั่นเอง การซักประวัติการกินอาหารก่อนป่วย มีความจำเป็นมาก เพราะอาหาร คือธาตุภายนอกที่เรานำเข้าไปบำรุง หรือปรับธาตุภายใน เรื่องอาหารจึงสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนใด โรคทางแผนโบราณจึงมีเรื่องเกี่ยวกับการกินที่เรียกว่า “กินผิด” คือกินไม่ถูกกับธาตุจะเจ็บป่วย กินไม่ถูกกับโรคทำให้อาการแย่ลง ดังนั้น การแพทย์แผนไทยใช้วิธีการกินสมุนไพร อาหารสมุนไพร มาแก้ไขการเสียสมดุลนี้เป็นการลองผิดลองถูกมายาวนาน จนสรุปเป็นหลักการและเหตุผล
    – กรีสัง หมายถึง อาหารเก่า คือ กากอาหารในลำไส้ใหญ่ที่จะออกมาเป็นอุจจาระนั่นเอง ลักษณะของอุจจาระเป็นตัวบ่งบอกสุขภาพ อุจจาระหยาบ ละเอียด ก้อนแข็งหรือเหลว กลิ่นอุจจาระเป็นเช่นไร เช่น กลิ่นเหมือนปลาเน่าธาตุน้ำเป็นเหตุกลิ่นเหมือนหญ้าเน่าธาตุไฟเป็นเหตุ กลิ่นเหมือนข้าวบูดธาตุลมเป็นเหตุกลิ่นเหมือนศพเน่าธาตุดินเป็นเหตุ เป็นต้น โบราณว่าไว้สุขภาพจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับกรีสะ (อุจจาระหรืออาหารเก่า) เป็นตัวควบคุม
  • ธาตุน้ำ มีสิ่งสำคัญในการควบคุมสุขภาพอยู่ 3 อย่าง คือ
    – ศอเสมหะ ควบคุมน้ำบริเวณคอขึ้นไปเกี่ยวกับเสมหะ น้ำมูกมีหรือไม่อย่างไร มีมากเวลาใด อาจหมายถึงการทำงานของต่อมต่างๆ ที่ผลิตน้ำเมือก น้ำมูกบริเวณดังกล่าว
    – อุระเสมหะ ควบคุมน้ำบริเวณอกเหนือกลาง ตัวจากคอมาถึงบริเวณลิ้นปี่ เหนือสะดือ การซักถามจะต้องถามถึงการไอ เสมหะเป็นอย่างไร การหอบ การอาเจียน น้ำที่ออกมาเป็นอย่างไร การปวดท้องเกี่ยวกับน้ำย่อยในกระเพาะ อาจจะหมายถึงการทำงานของต่อมน้ำมูก เมือกในปอด หลอดลม น้ำในกระเพาะอาหาร น้ำดี น้ำย่อยในลำไส้เล็ก
    – คูถเสมหะ ควบคุมน้ำช่วงล่างจากสะดือลงไป อาจเป็นน้ำมูกเมือก น้ำในลำไส้น้ำในอุจจาระ น้ำปัสสาวะ น้ำในมดลูก ช่องคลอด (ถ้าเป็นหญิง) และน้ำอสุจิ (ถ้าเป็นชาย) จึงต้องซักประวัติเกี่ยวกับอาการที่เกี่ยวข้อง เช่น การถ่ายปัสสาวะ อุจจาระ ลักษณะเหลว หรือแข็ง มีน้ำมากน้อยเพียงใด ผิดปกติอย่างไร
  • ธาตุลม มีสิ่งสำคัญในการควบคุมสุขภาพอยู่ 3 อย่าง คือ
    – หทัยวาตะ ลมที่ควบคุมอารมณ์ จิตใจ การเต้นของหัวใจ ความหวั่นไหว ความกังวล
    – สัตถกะวาตะ ลมที่คมเหมือนอาวุธ หมายถึง เมื่อเกิดอาการจะมีอาการฉับพลัน เจ็บปวดลึกๆ เหมือนดังอาวุธเสียบแทง จากลักษณะดังกล่าวอาการคล้ายกับภาวะขาดเลือด เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรืออวัยวะใดๆ ขาดเลือดจะมีอาการเจ็บปวดรุนแรง
    – สุมนาวาตะ ลมที่ควบคุมพลังที่อยู่เส้นกลางลำตัวตามแนวดิ่ง ในตำราการนวดไทยเส้นสุมนาถูกจัดเป็นเส้นสำคัญในเส้นสิบ เส้นนี้จะวิ่งกลางลำตัวจรดปลายลิ้น จึงน่าจะเป็นตัวควบคุมระบบประสาท การไหลเวียนโลหิตสมอง ไขสันหลัง ระบบอัตโนมัติต่างๆ การซักถามอาการควรถามเกี่ยวกับการทำงานของแขนขา การปวดเจ็บหลัง การชัก การกระตุก ตำราโบราณกล่าวว่าอาการลิ้นกระด้างคางแข็งเกิดจากสุมนา แสดงว่าน่าจะเกี่ยวกับสมอง ประสาท
  • ธาตุไฟ มีสิ่งสำคัญในการควบคุมสุขภาพอยู่ 3 อย่าง คือ
    – พัทธปิตตะ คือดีในฝัก บางท่านอาจสับสนว่าน้ำดีคือธาตุน้ำ เหตุใดจึงจัดเป็นไฟ ผู้เขียนเข้าใจว่าพัทธปิตตะในที่นี้ คือการควบคุมการทำงานของน้ำดีและการย่อยสลายจากการทำงานของน้ำดี ส่วนน้ำดีจัดเป็นธาตุน้ำ อาการบ่งบอกการทำงานที่ผิดปกติไป จึงน่าจะหมายถึงการปวดท้อง น้ำดีอุดตัน ภาวะการผลิตน้ำดีของตับผิดปกติ ตับอักเสบเกิดอาการตัวเหลือง ตาเหลือง เกิดน้ำดีอักเสบเป็นนิ่ว เป็นต้น เป็นเรื่องที่ควบคุมการทำงานของธาตุน้ำเป็นอาการบ่งบอกถึงการทำงานที่ผิดปกติไป จึงน่าจะหมายถึงการปวดท้อง น้ำดีอุดตัน เป็นเรื่องที่ควบคุมการทำงานของน้ำดีในตับ และถุงน้ำดีที่เรียกว่าในฝักนั่นเอง
    – อพัทธะปิตตะ ดีนอกฝัก หมายถึง การทำงานของน้ำดีในลำไส้ การย่อยอาหาร อาการคือจุกเสียด อืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ดีนอกฝักพิการ จะทำให้เหลืองทั้งตัว ดีในฝักพิการจะมีอาการคุ้มคลั่งเหมือนผีเข้า ถ่ายเป็นสีเขียว
    – กำเดา องค์แห่งความร้อน เป็นตัวควบคุมความร้อนในร่างกาย น่าจะหมายถึงศูนย์ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายนั่นเอง การตรวจสามารถดูที่อาการไข้ว่าตัวร้อนจัดหรือไม่เพียงใด
อาหารประจำ ธาตุเจ้าเรือน
  • ธาตุดิน ควรรับประทานอาหารรสฝาด หวาน มัน เค็ม ได้แก่ มังคุด ฝรั่งดิบ ฟักทอง เผือก ถั่วต่างๆ เงาะ น้ำนม น้ำอ้อย เกลือ ฯลฯ
  • ธาตุน้ำ ควรรับประทานอาหารรสเปรี้ยว รสขม ได้แก่ มะกรูด มะนาว ส้ม สับปะรด มะเขือเทศ มะระ สะเดา ฯลฯ
  • ธาตุลม ควรรับประทานอาหารรสเผ็ดร้อน ได้แก่ ขิง ข่า ตะไคร้ กระชาย พริกไทย โหระพา กะเพรา ฯลฯ
  • ธาตุไฟ ควรรับประทานอาหารรสขม เย็น จืด ได้แก่ ผักบุ้ง ตำลึง แตงโม บัวบก ขี้เหล็ก ฯลฯ

ขอบคุณที่มาจาก : กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
ขอบคุณภาพจาก : looseweightwith100dietfoods.blogspot.com

Monday, September 24, 2018

# เครื่องหอมไทยประเภทปรุงกลิ่น


เป็นวิธีการปรุงเครื่องหอมแบบไทย ๆ ที่มีสืบต่อกันมานานตั้งแต่อดีต จนมาถึงปัจจุบันก็ยังมีอยู่ แต่จะหาได้ยากยิ่งนักที่จะเป็นการปรุงเครื่องที่ถูกวิธี ซึ่งส่วนใหญ่เครื่องปรุงในการทำเครื่องหอมประเภทปรุงกลิ่นมักจะเป็นพืชสมุนไพร หรือสิ่งที่มาจากธรรมชาติ เช่น ลำเจียก ดินสอพองแก่นจันทน์เทศ ขี้ผึ้ง พิมเสน ชะมดเช็ด ฯลฯ หรือแม้แต่กระทั่งพืชสมุนไพร ผลหมากรากไม้ที่หาได้ง่ายที่ริมรั้ว เช่น ใบเตยหอม มะกรูด ดอกมะลิ กระดังงา กุหลาบ ฯลฯ ส่วนด้านในของอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตก็หาได้จากในครัวแบบไทย ๆ ของเราเอง เช่น ขวดโหล โถกระเบื้อง ผ้าขาวบาง กระบวยตักน้ำ เตาอั้งโล่ เทียนอบ เป็นต้น 

ซึ่งเครื่องหอมไทยประเภทปรุงกลิ่นที่เป็นที่นิยมและน่าสนใจในวิธีการปรุง อุปกรณ์ และวัตถุดิบ เช่น น้ำดอกไม้สด น้ำอบไทยไม่ใช้ดอกไม้สด ผ้าชุบน้ำอบอย่างเปียก น้ำปรุง ออดิโคโลณจน์ และน้ำหอม โดยเครื่องหอมชนิดต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้นมีวิธีการปรุงที่สลับซับซ้อน ต้องใช้ความพิถีพิถันเป็นอย่างมากในทุกขั้นตอนทุก ๆ ซึ่งจะนำวิธีทำของเครื่องหอมแต่ละชนิดมาบันทึกไว้ใน post ต่อไป


ที่มา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตวังไกลกังวล

http://www.kkw.rmutr.ac.th/thai/thaidept/h1.pdf


# วิธีทำเครื่องหอมไทย



สามารถทำได้ 3 วิธี คือ การอบ การร่ำ และการปรุง

การอบ หมายถึง การนำมาปรุงกลิ่นด้วยควัน หรือนำมาปรุงกลิ่นด้วยดอกไม้หอม การอบให้มีกลิ่นหอมเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่ง กลิ่นหอมจะซึ่งเข้าไปในของที่นำไปอบ โดยวัตถุที่ต้องการให้มีกลิ่นนั้น อยู่ในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท จะอบด้วยเทียนอบ หรือดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมและมีกลิ่นแรง
มักจะไม่ใช่ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมเลี่ยน ๆ หรือที่มีกลิ่นเปรี้ยว

1. การอบ ดอกไม้มี 2 ชนิด คือ การอบน้ำ และการอบแห้ง
1) การอบน้ำ คือ การลอยดอกไม้บนน้ำ เช่น อบน้ำสำหรับรับประทาน อบน้ำเชื่อม  อบน้ำสรง อบน้ำเพื่อจะทำน้ำอบไทย เรียกว่า น้ำดอกไม้สด


การอบดอกไม้บนน้ำควรปฏิบัติดังนี้
ก. ไม่ควรนำดอกไม้ใส่ลงภาชนะให้เต็ม ควรเว้นที่ว่างไว้ เพราะกลิ่นของดอกไม้จะได้ลงถึงน้ำ
ข. ควรใช้ภาชนะที่มีลักษณะปากกว้าง ตื้น มีฝาปิด เวลาอบใส่น้ำเพียงเล็กน้อยเพื่อให้
ความหอมทั่วถึง
ค. ควรวางภาชนะให้เข้าที่เสียก่อน แล้วค่อยใส่น้ำ เวลานำดอกไม้ลงลอย น้ำจะต้องนิ่งแล้วจึงลอยดอกไม้เบา ๆ ถ้าน้ำกระเทือน จะทำให้เข้าดอกไม้ช้ำได้ ทำให้น้ำมีกลิ่นเหม็นเขียว
ง. ดอกไม้ประเภทที่มีกลีบบาง เช่น ชำมะนาด จันทน์กะพ้อ สารภี พิกุล ควรใส่จอกหรือภาชนะเล็ก ๆ ลอย เพื่อป้องกันการเกิดกลีบดอกช้ำ
จ. ดอกไม้ที่ลอยน้ำ ควรลอยตามเวลาที่ดอกไม้บาน ไม่ควรแช่ทิ้งไว้นานเพราะหัวน้ำหอมลงอยู่ในน้ำหอมแล้ว การอบดอกไม้บางชนิด อบได้นาน 6 – 8 ชั่วโมง เช่น มะลิ กุหลาบมอญ พิกุล ลำเจียก ชำมะนาด ราตรี ดอกแก้ว พุทธชาด กระดังงา ดอกไม้บางชนิดลอย
ได้ ประมาณ 1 - 3 ชั่วโมง เช่น ดอกลำดวน ขจร สารภี ส่าเหล้า กรรณิการ์ แก้ปัญหาได้โดยการนำดอกไม้ใส่จอกเล็ก ๆ ลอย ฉะนั้น การลอยดอกไม้ควรลอยเวลาค่ำ และนำขึ้นตอนเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น

ฉ. การลอยดอกไม้เพื่อให้กลิ่นหอม ควรทำการศึกษาว่า ดอกไม้ชนิดใดบานในเวลาใด เช่น

- ดอกมีที่บานเวลาเช้ามืด จะส่งกลิ่นเวลาประมาณ 05.00 – 06.00 น. คือ ดอกพิกุล ดอกสารภี ดอกจำปา ดอกสายหยุด ดอกจันทน์กระพ้อ
- ดอกไม้ที่บานในเวลาเย็น เวลาประมาณ 18.00 น. ได้แก่ ดอกลำเจียก ดอกมะลิ ดอกพุทธชาด ดอกส้ม ดอกลำดวน
- ดอกไม้ที่บานเวลาค่ำ เวลาประมาณ 19.00 น. ได้แก่ ดอกชำมะนาด ดอกขจร ดอกกรรณิการ์

ฉะนั้น ดอกไม่ที่ออกกลิ่นเวลาใด ต้องคอยอบเวลานั้น พอหมดกลิ่นรีบเอาออกก่อนที่ดอกไม้จะช้ำ

 จ. ดอกไม้ที่จะนำมาอบถ้ามีต้น ก็เกิดใช้ในเวลาที่ต้องการได้เลย แต่ถ้าซื้อตอนเช้า เพราะยังพรมน้ำจากจะทำให้กลิ่นหอมของดอกไม้หมดไป และดอกไม้จะช้ำ เรียกว่า ดอกไม้สำลักน้ำ

 2) การอบแห้ง คือ การวางดอกไม้ไว้บนขนม หรือสิ่งของต่าง ๆ ควรจะใช้ภาชนะเล็ก ๆ วาง
ไว้บนของที่อยู่ในโถ มีฝาปิดสนิท การอบแห้งควรอบตามเวลาดอกไม้บาน เมื่อถึงตอนเช้า
ควรเอาดอกไม้ออกถ้าทิ้งไว้นานอาจทำให้กลิ่นเสีย

 วิธีใช้ดอกกระดังงาดอกไม้ชนิดอื่นพอเก็บก็นำมาอบได้เลย แต่ดอกกระดังงาจะต้องนำมา
อบควันเทียนเสียก่อน บางครั้งรียกว่า กระดังงาลนไฟจากหนังสือ เครื่องหอมและของ
ชำร่วย ของคุณโสภาพรรณ อมตะเดชะ ได้กล่าวถึงวิธีการลนไฟไว้ว่า โดยใช้มือรวบปลาย
กลีบดอกแล้วนำคั่วดอกลนไฟให้ตายนึ่ง เวลาจะปลิดกลีบดอกออกจากดอก ใช้มือขับที่
กระเปาะดอกให้กลับร่วงจะทำกลิ่นหอมแรงกว่าปลิดทีละกลีบ แล้วฉีกแต่ละกลีบตามแนว
ยาว กลีบละ 2 – 3 เส้น

การใช้เทียนอบ 


เทียนอบใหม่ที่ยังไม่ได้ใช้จะต้องจุดไส้เทียนให้ไหม้ถึงตัวเทียน เนื่องจาก
กลิ่นหอมอยู่ที่ตัวเทียน เทียนอบที่ใช้แล้ว เก็บไว้นาน ๆ ไส้เทียนแข็ง จะต้องจุดไฟก่อนเพื่อให้
ไส้เทียนอ่อนตัว

2. การร่ำ หมายถึง การอบกลิ่นหอมหลายอย่าง และทำโดยภาชนะเผาไฟแล้วใส่เครื่อง
หอม เพื่อให้เกิดควันที่มีกลิ่นหอม ได้แก่ กลิ่นหอมของยางไม้ กลิ่นน้ามัน กลิ่นเนื้อไม้
ฯลฯ การร่ำเครื่องหอมต้องใช้ภาชนะที่สำคัญ คือ โถกระเบื้อง การที่จะร่ำต้องใส่ทวนไว้
ตรงกลางโถ นำตะคันเผาไฟให้ร้อน แล้วนำไปวางไว้บนทวน ดังภาพ 


3. การปรุง หมายถึง การรวมของหลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกัน ในกรณีการปรุงเครื่องหอม คือ
การนำแป้งพิมเสน หัวน้ำหอม ชะมดเช็ด มาบดผสมเข้าด้วยกัน แล้วนำไปปรุงกับน้ำอบ
ไทย หรือเครื่องหอมอื่น ๆ แต่มีข้อสังเกตตรงที่ว่าการที่จะใส่หัวน้ำหอมชะมดเช็ด จะ
ต้องบดแป้งนวล หรือแป้งหินเสียก่อนเพื่อให้แป้งซับน้ำมันให้หมดแล้วจึงนำไปผสมหรือ
กวนในน้ำต่อไป เช่น การทำน้ำอบไทยจะต้องอบร่ำและปรุงจึงถือได้ว่าประสบความ
สำเร็จในการทำน้ำอบไทย 


ที่มา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตวังไกลกังวล

http://www.kkw.rmutr.ac.th/thai/thaidept/h1.pdf



# เครื่องมือ เครื่องใช้ สำหรับการทำเครื่องหอม และการดูแลรักษา



การเก็บรักษาเครื่องมือเครื่องใช้ มีความจำเป็นมากสำหรับการทำเครื่องหอมและของชำร่วย
มีวิธีการดังนี้

การเก็บรักษาเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับการทำเครื่องหอม

1.เครื่องมือการทำเครื่องหอมจะมีโถกระเบื้อง หม้อเคลือบ โกร่ง กระบวย ก่อนใช้ควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง ขณะที่ใช้ทำน้ำอบไทยไม่ควรล้างน้ำ ควรใช้การเช็ดและผึ่งแดดให้แห้ง หลังจากที่ใช้แล้วก่อนเก็บสามารถทำได้ 2 วิธี คือ ถ้าไม่สกปรกมาก ให้ใช้เพียงแค่ผ้าเช็ดและผึ่ง
แดดให้แดดให้แห้งแล้วนำไปเก็บใสตู้แต่ถ้าสกปรกให้ล้างน้ำสะอาดช็ดแล้วผึ่งแดดให้แห้ง สาเหตุขณะที่ทำน้ำอบไทยไม่ให้ล้าง เพราะถ้าล้างแล้วเช็ดให้แห้งยังมีติดอยู่จะทำให้น้ำอบไทยบูด หลังจากที่ใช้งานเสร็จโดยบางใบใช้เฉพาะอบกลิ่นหอม ๆ จะยังคงอยู่การนำมาใช้ครั้งต่อไปจะทำให้มีความหอมของภาชนะติดอยู่แล้วการอบครั้งต่อไปจะทำให้ใช้เวลาน้อยลง สำหรับผ้าขาวบางหลัง
จากเลิกใช้วานแล้วซักและนำไปตากให้แห้งจึงเก็บได้

2.ตะคัน ทวน เตาอังโล่ เมื่อใช้งานเสร็จเรียบร้อยแล้วควรนำขี้เถ่าออกให้หมดส่วนตะคันถ้าติดกำยานให้อังไฟให้ร้อนแล้วใช้ไม้ขูดออกให้สะอาดและนำไปเก็บ

3.เครื่องปรุงที่เหลือจากการนำมาใช้ เช่น แป้งหิน แป้งร่ำ แป้งนวล ควรผึ่งแดดให้หมดกลิ่นสาบและแห้งสนิทก่อนจึงนำไปเก็บใส่ถุง หรือนำไปอบควันเทียนเก็บไว้ในโถเพื่อให้แป้งมีกลิ่นหอมส่วนหัวน้ำหอมกลิ่นต่าง ๆ เช่น กำยาน ชะลูด จันทน์ เทศ ให้แยกเก็บไว้เป็นส่วน ๆ ต่างหากห้ามนำมาปนกัน

ที่มา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตวังไกลกังวล

http://www.kkw.rmutr.ac.th/thai/thaidept/h1.pdf