Monday, September 24, 2018

# วิธีการสกัดน้ำมันหอม



การสกัดน้ำมันหอมได้มีวิวัฒนาการมาป็นลำดับ ตั้งแต่การเผาไม้หอมนำน้ำมันที่ไหลซึมออกมาจากไม้ ใช้น้ำมันส่วนนี้ไปผสมกับเครื่องหอมได้ ต่อมามนุษย์เมสังเกตว่า การสกัดน้ำมันหอมไม่สามารถใช้ได้กับไม้ทุกชนิด มีไม้บางประเภทเท่านั้นที่สามารถทำได้จึงคิดค้นวิธีใหม่โดยการหุงด้วยความร้อน วิธีนี้ก็ คือ ใช้น้ำมันจากเมล็ดพืชบางชนิด เช่น น้ำมันมะกอกใส่ภาชนะแล้วตั้งขึ้นไฟ จากนั้นเอาดอกไม้หรือไม้หอมป่นจนเป็นผง ใส่ลงไปเคี่ยว ความร้อนของน้ำมันก็จะไประเบิดต่อมน้ำมันหอมที่มีอยู่ แต่วิธีนี้ก็มีข้อจำกัดอีกเพราะดอกไม้ที่นำมาสกัดไม่สามารถใช้ได้กับดอกไม้ทุกชนิด ถ้าเป็นกุหลาบหรือกระดังงาไม่มีปัญหา แต่ถ้าดอกมะลิหรือดอกไม้อื่นที่ไม่สู้ความร้อนกลิ่นก็จะเปลี่ยนไป

ต่อมามนุษย์ได้ใช้ความพยายามคิดค้นโดยการหีบเพื่อเอาน้ำมันหอม ด้วยวิธีทำไม้หอมที่ไม่ใช่ไม้ยืนต้น เช่น ตะไคร้หอม หรือไม้อื่นที่บอบบางหน่อยเข้าเครื่องหีบ แบบหีบเอาน้ำอ้อย พฤกษาชาติที่ถูกหีบก็จะคายน้ำเลี้ยงที่มีอยู่ในลำต้นมารวมกันกับน้ำมันหอม น้ำเลี้ยงซึ่งหนักกว่าจะนอนก้นส่วนน้ำมันหอมก็จะลอยอยู่ส่วนบนของภาชนะ วิธีสกัดดังกล่าวนี้ ได้ใช้มาเป็นมาเป็นพัน ๆ ปี 

จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 10 แพทย์ชาวอาหรับชื่อ อวิเซนนาได้ค้นพบวิธีสกัดน้ำมันหอมจากดอกไม้และดอกไม้ชนิดแรกที่เป็นดอกไม้ประวัติศาสตร์ที่นำมาทำการทดลอง คือ ดอกกุหลาบ วิธีกลั่นน้ำมันหอมจากดอกไม้หอมของอวิเซนนา ได้แพร่หลายในหมู่ชาวอาหรับต่อมาการสกัดน้ำมันหอมได้พัฒนามาเป็นลำดับจนกระทั่งปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์สามารถคิดค้นได้ มีอยู่ 5 วิธีด้วยกันดังนี้

1.วิธีสกัดโดยใช้น้ำร้อน วิธีนี้นำเอาพืชที่มีกลิ่นหอมที่ต้องการจะสกัด ต้มกับน้ำจนน้ำร้อนเดือด ไอน้ำจะพาน้ำหอมออกมาผ่านไอน้ำเข้าเครื่องควบแน่น ไอน้ำและไอของน้ำมันหอมจะกลายเป็นของเหลว น้ำมันที่ได้นี้ยังมีความชื้น ละลายแทรกซึมอยู่ ต้องทำให้แห้งโดยเขย่ากับสารดูดความชื้นตั้งค้างคืนแล้วกรอง จะได้น้ำมันหอมที่ใสสะอาดตามที่ต้องการวิธีสกัดโดยใช้น้ำข้อนี้นิยมใช้สกัดพืชที่มีราคาถูก เช่น น้ำมันตะไคร้ และน้ำมันตะไคร้หอม

2.วิธีสกัดโดยใช้ไอน้ำ วิธีนี้ต้องมีหม้อต้มน้ำต่างหาก ส่วนพืชที่จะสกัดบรรจุไว้ในหม้อกลั่นผ่านไอน้ำร้อนจากหม้อน้ำเข้าไปยังหม้อกลั่นผ่านไอร้อน จากหม้อน้ำไปยังหม้อกลั่น ภายใต้ความกดดัน 40 – 50 ปอนด์ต่อตารางนิ้วไอน้ำจะพาเอาน้ำมันหอมระเหยออกมาผ่านไอน้ำผสมน้ำมันหอมเข้าเครื่องควบแน่น จะได้น้ำผสมน้ำมันหอมเมื่อใส่กรวยแล้วแยกเอาน้ำซึ่งอยู่ส่วนล่างออกเอาน้ำมันหอมไปทำให้แห้ง โดยเขย่ากับสารดูดความชื้น

3.วิธีสกัดด้วยตัวทำละลาย วิธีนี้ยังแบ่งย่อยออกเป็น 2 วิธี คือ สกัดที่อุณหภูมิและสกัดโดยใช้ความร้อยช่วย วีสกัดที่อุณหภูมิของห้องก็คือ เอาพืชที่มีกลิ่นหอมหรือดอกไม้หอม แช่ด้วยตัวทำละลายที่อุณหภูมิของห้องตัวทำละลายที่ใช้ได้แก่ ปิโตรเลียม อีเทอร์ อะซิโตน หรือแอททิลแอลกอฮอล์ อาจจะแช่ 29 – 48 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับชนิดของพืช 
4.วิธีสกัดโดยใช้ไขมัน หลักการของวิธีนี้มีง่าย ๆ คือ เกลี่ยไขมันให้ทั่วหนาประมาณครึ่งเซ็นติเมตรเอาดอกไม้ที่จะสกัดมาเกลี่ยให้เต็มถาด ถาดไม้ควรมีหลาย ๆ ใบ เพื่อเกลี่ยดอกไม้ให้เต็มทุกถาดแล้ววางซ้อนกัน ถาดใบบนต้องมีฝาปิดสนิทตั้งไว้ 24 ชั่วโมง ให้เปลี่ยนเอาดอกไม้เก่าออก เอาดอกไม้ใหม่วางเกลี่ยลงไปแทนที่ ทำดังนี้ติดต่อกันประมาณ 7 วัน จนแน่ใจว่า ไขมันได้ดูดเอากลิ่นหอมหรือน้ำมันหอมไว้ในตัวมันมากพอแล้ว 
5.วิธีบีบหรืออัด วีนี้ได้แยกน้ำมันออกจากผิวส้ม ผิวมะนาว ผิวมะกรูด เมื่อปอกเอาเปลือกส้มหรือผิวมะกรูดใส่เข้าไปในเครื่องอัดหรือบีบ ภายใต้ความกดดันสูง ๆ จะทำให้น้ำมันปนกับน้ำไหลออกมาและกรองให้สะอาดแล้วก็นำไปใส่กรวยก็จะสามารถแยกน้ำมันหอมของผิวส้มหรือผิวมะกรูดออกจากน้ำได้ เอาไปเขย่ากับสารดูดความชื้นแล้วกรองเอาน้ำมันหอมที่สะอาด 
หัวน้ำหอมบริสุทธ์เป็นของเหลวข้นออกสีน้ำตาล แต่ละชนิดมีสีเข้มข้นจัดเมื่อนำมาผสมกับแอลกอฮอล์ซึ่งจะเป็นตัวละลายกลิ่นในขณะที่แอลกอฮอล์ระเหยไปเราเรียกว่า น้ำหอม มีกลิ่นฟุ้งนอกจากอแลกอฮอล์แล้วหัวน้ำหอมยังสามารถผสมกับสารอื่น ๆ ที่ระเหยได้ และอาจมีชื่อต่างกันออกไป เช่น โคโลญจน์ หรือกระดาษหอม 

ที่มา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตวังไกลกังวล

http://www.kkw.rmutr.ac.th/thai/thaidept/h1.pdf



No comments:

Post a Comment